2.4 บุคลากร หรือ ผู้ใช้ (People)

ในยุคแรกๆของคอมพิวเตอร์ เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีราคาแพงมากทำให้รูปแบบการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นไปในลักษณะของศูนย์คอมพิวเตอร์ มีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้งาน และผู้ใช้ทั่วไปจะติดต่อให้เจ้าหน้าที่ ทำการประมวลผลข้อมูลให้ การเขียนโปรแกรมเป็นเรื่องยาก การพัฒนาโปรแกรมสำหรับหน่วยงานจะเป็นในรูปของการจ้างเขียนโปรแกรม หรือจ้างโปรแกรมเมอร์

การพัฒนาในเรื่องการแบ่งเวลาทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เสมือนว่าพร้อมกัน ทำให้ผู้ใช้ เริ่มที่จะได้ใช้คอมพิวเตอร์ ด้วยตัวเอง โดยจะเป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้น เฉพาะงาน ผู้ใช้ทำงานกับเครื่องที่เป็น terminal (มีแป้นพิมพ์ให้ป้อนข้อมูล และ มีจอภาพสำหรับแสดงผล) โดยโปรแกรมทำงานที่เครื่องเมนเฟรม

ในยุคของเครื่อง PC คอมพิวเตอร์มีราคาลดลงอย่างมากเช่นในปัจจุบัน ทำให้คนจำนวนมากสามารถเป็นผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้เอง และคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ที่พบได้ทั่วไปตามบ้าน โรงเรียน เป็นสิ่งใกล้ตัวที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่อง ATM เครื่องคิดเงินตามร้านขายของ แม้กระทั่งคอมพิวเตอร์อยู่ภายในรถยนต์ หลายๆรุ่น

บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ มีหลากหลาย เช่น ผู้ใช้ปลายทาง (End user) คือผู้ที่ใช้โปรแกรมทำงานที่ต้องการ ซึ่งโปรแกรมนั้นๆ ถูกออกแบบโดย นักวิเคราะห์ระบบ (System analysis) ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบจะต้องทำหน้าที่วิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ เพื่อนำไปเขียนเป็นโปรแกรม โดยผู้มีหน้าที่เขียนโปรแกรมนี้เราเรียกว่า โปรแกรมเมอร์ โปรแกรมที่นักโปรแกรมเมอร์เขียนขึ้นนี้จะถูกตรวจสอบความถูกต้องโดยฝ่ายทดสอบ หลังจากผ่านกระบวนการเหล่านี้แล้วโปรแกรมนั้นจะถูกส่งมอบให้กับผู้ใช้ โดยจะต้องมีการสอนวิธีการใช้งานและบำรุงรักษาโปรแกรม พร้อมทั้งแก้ข้อผิดพลาดที่พบหลังจากมีการใช้งานจริง

ในปัจจุบันมีโปรแกรมสำเร็จรูปจำนวนมากที่มีความซับซ้อนทำให้เกิดผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีทักษะเฉพาะโปรแกรมนั้นๆ เช่น นักเขียนแบบ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้โปรแกรม AutoCad นักวาดภาพก็จะมีทักษะเฉพาะในการใช้งานโปรแกรม Photo shop เป็นต้น การใช้งานคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่งานธุรกิจทั่วๆ ไปต้องการได้บุคลากรที่มีความสามารถใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานอาทิเช่น ใช้โปรแกรม Word Processing สำหรับส่ง e-mail และใช้ Web browser เป็นต้น

นอกจากจะใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานแล้ว ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ ยังเป็นอุปกรณ์สำหรับการศึกษา และความบันเทิงด้วย มีข้อมูลจำนวนมาก ในระบบ Internet ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกหาความรู้ให้ตนเองได้ ทั้งนี้ ผู้ใช้ต้องพิจารณาแหล่งข้อมูลตามความเหมาะสม เช่น นักศึกษาปริญญาตรี ไม่ควรนำข้อมูลจาก Web site ของนักเรียนชั้นประถมในการทำรายงาน เป็นต้น ข้อมูลจาก Web site มีการเปลี่ยนแปลงสูง Web page อาจจะหายไปเมื่อไรก็ได้จึงไม่เหมาะสมสำหรับการอ้างอิง และข้อมูลจาก Web site อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ ผู้ใช้ควรตระหนักว่าใครก็ได้สามารถสร้าง Web site และแม้กระทั่งข้อมูลที่เป็นรูปภาพก็อาจเป็นภาพที่ถูกแก้ไข ทำเทียม หรือมีการตัดต่อได้เช่นกัน

ในการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ สำหรับ ความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ ใช้ในการพูดคุยกันโดย e-mail, Web board และ chat ผู้ใช้ต้องตระหนักถึงความเหมาะสมในเรื่องของเวลา และ สถานที่ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ของที่ทำงาน ของห้องปฏิบัติการของสถานศึกษา ทั้งนี้ เจ้าของบริษัท หรือ มหาวิทยาลัย เป็นผู้ลงทุนด้านเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรม และค่าใช้จ่ายในการต่อเครือข่าย โดยหวังประโยชน์ในทางธุรกิจ หรือ เพื่อสนับสนุนทางการศึกษา เป็นต้น ในทางธุรกิจ เริ่มมีการใช้โปรแกรมตรวจสอบการทำงานของพนักงานว่าใช้คอมพิวเตอร์ทำอะไรอยู่ ทั้งนี้ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวของพนักงาน

ปัญหาเรื่องเด็กนักเรียน นักศึกษา ติดเกมส์ ใช้เวลาเล่นเกมส์ ทั้งวันทั้งคืน เริ่มจะพบมากขึ้น ทั้งนี้ การเล่นเกมส์ เพื่อการพักผ่อนเป็นเรื่องปกติ แต่การใช้เวลากับเกมส์มากจนเกินไปจนไม่สามารถเลิกเล่นได้ ถือเป็นการเสพติดอย่างหนึ่ง ผู้เล่นเองต้องตระหนักว่า เกมส์ ก็คือเกมส์ ในความจริงแล้ว เป็นแค่ตัวเลขชุดหนึ่งเท่านั้น การได้แต้มสูง ไม่ได้มีผลใดๆ ต่อการใช้ชีวิตทั้งสิ้น

ในการสื่อสารผ่าน Internet ผู้ใช้สามารถทำตัวเป็นใครก็ได้ ผู้ชายสามารถบอกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เรื่องที่พูดคุยอาจเป็นการแต่งเรื่องขึ้นทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นกับวิจารณญาณของผู้ใช้เอง เป็นที่สังเกตได้ว่าการสื่อสารผ่าน Web board ผู้ใช้มีแนวโน้มก้าวร้าว กว่าการสนทนาตัวต่อตัว

ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากการทำธุรกิจผ่าน Internet ต้องอาศัยการระบุตัวบุคคลทำให้เกิดปัญหาเรื่องการสวมรอยบุคคลได้ เช่น นำชื่อ-นามสกุล หมายเลขประจำตัวของบุคคลอื่นไปใช้ ดังนั้น การให้ข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน Internet หรือ Web site จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง มีการโจรกรรมข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แม่ข่ายของบริษัทหลายกรณี ที่ผู้โจรกรรมได้ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งสามารถนำไปใช้หาประโยชน์ ซึ่งเป็นผลร้ายต่อตัวเรา เช่น มีการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตเป็นต้น

ประเทศไทย มีกฎหมาย พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เพื่อเป็นการควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ และ มีบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ เช่น การเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น ที่มีการป้องกันไว้ โดยไม่ได้รับอนุญาติ รวมถึงการเผยแพร่ข้อความเท็จ ทางคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

เป็นที่กล่าวกันว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ถ้าหากเกิดความผิดพลาดขึ้นจะเป็นผลมาจากความผิดพลาดของผู้ใช้นั่นเอง ข้อความนี้ไม่ได้เป็นจริงเสมอไปที่เป็นเช่นนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ควรจะถูกต้องแต่ในสภาพความซับซ้อนความผิดพลาดอาจขึ้นได้เสมอ

ในปี 1983 หลังจาก IBM PC เริ่มออกวางจำหน่ายปรากฏรายงานว่า ถ้าใช้เครื่องคำนวณ 100 หาร 10 จะได้ผลลัพธ์ 9.999999999 เป็น bug ในโปรแกรมการคำนวณเลขทศนิยมภายในเครื่อง (BASIC ROM) ได้มีการแก้ไขให้เครื่องทำงานได้ถูกต้อง

ในปี 1995 มีการรายงาน bug ของ Pentium ว่าคำนวณเลขทศนิยมผิด ภายหลัง Intel ยืนยันข้อผิดพลาดนี้ โดยในการออกแบบ CPU ในส่วนของขบวนการคำนวณเลขทศนิยม มีความผิดพลาด แต่ Intel คำนวณว่า โอกาสที่จะพบข้อผิดพลาดมีน้อยมากและจะมีผลต่อทศนิยมหลักที่ 9 ถึง 10 โอกาสเกิดแค่ 1 ใน 9 พันล้าน จึงไม่ได้แก้ไขแต่ภายหลังก็ตรวจพบโดยผู้ใช้

ในโปรแกรม โอกาสที่จะพบเห็นข้อผิดพลาดมีมากกว่า ทั้งนี้ ระบบปฏิบัติการ ก็มีข้อผิดพลาดได้ ซึ่งมีผลทำให้ Application โปรแกรมทำงานผิดพลาดไปด้วย ในทางกลับกัน Application โปรแกรมที่ทำงานผิดพลาด อาจจะทำให้ระบบล้มเหลว แม้ว่าระบบปฏิบัติการจะพยายามป้องกันในส่วนนี้ก็ตาม ในระบบปฏิบัติการ Microsoft Window เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Blue screen of death ทั้งนี้บริษัทผู้ผลิต software ก็พยายามแก้ไขจุดบกพร่อง โดยสร้าง patch ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนโปรแกรมในส่วนที่มีข้อผิดพลาด แม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น อาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในบางครั้ง อาจจะมีมูลค่าความเสียหายกับทางธุรกิจ เป็นมูลค่าสูง

ในปี 1990 เริ่มมีความตระหนักถึงข้อผิดพลาดที่จะเกิดกับระบบคอมพิวเตอร์ ในปี 2000 หรือที่เรียกกันว่าปัญหา Y2K ทั้งนี้เกิดเนื่องจากการเก็บข้อมูลปีมักจะใช้ตัวเลขเพียง 2 หลัก เช่น 2 มกราคม 1990 จะแทนด้วยเลข 900102 โดยแทนด้วย ปี เดือน วัน เพื่อสะดวกในการเรียงข้อมูล การเก็บข้อมูลด้วยวิธีดังกล่าว จะมีปัญหาในปี 2000 เนื่องจาก วันที่ 1 มกราคม 2000 จะแทนด้วยเลข 000101 ซึ่งจะทำให้การเรียงข้อมูลผิดจากที่ต้องการ และการคำนวณโดยเฉพาะการลบวันที่หาช่วงเวลาจะผิดพลาดทันที ปัญหาดังกล่าว ทำให้มีการแก้ไขโปรแกรมกันอย่างมากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม วันที่ 1 มกราคม 2000 ผ่านมาได้ด้วยดี แต่คาดว่างบประมาณที่ใช้โดยรัฐบาลและบริษัททั่วโลกในการป้องกันปัญหานี้มีมูลค่ากว่า 8.58 แสนล้านเหรียญ (ตัวเลขประมาณการของแต่ละแห่งแตกต่างกัน)

ในปีค.ศ. 1999 ยาน Mars Climate Orbiter ของ NASA ราคา $125ล้านเหรียญถูกทำลายขณะเข้าสู่ชั้นบรรกาศของดาวอังคารผลการสอบสวนพบว่าโปรแกรมคำนวณของสองทีมใช้หน่วยไม่เท่ากัน ทีมที่หนึ่งใช้ หน่วยของแรงเป็นปอนด์-วินาที อีกทีมใช้หน่วนเป็นนิวตัน ซึ่งมีค่าแตกต่างกัน 4.45 เท่า

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การทำงานของคอมพิวเตอร์อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่ากรณีที่ยกมา คือ การป้อนข้อมูลผิดพลาด ซึ่งมีผลต่อการคำนวณที่ตามมา จะให้ข้อมูลผิดพลาด เช่นกับคำกล่าวที่ว่า Garbage in, Garbage out ถ้าใส่ขยะเข้าไปก็ได้ขยะออกมา การคำนวณ ก็ขึ้นอยู่กับโปรแกรม ซึ่งโปรแกรมก็อาจจะมีข้อผิดพลาดได้เช่นกัน ปัญหาในการเลือกใช้โปรแกรม หรือ ส่วนของโปรแกรมขึ้นกับผู้ใช้เพราะโปรแกรมเป็นแบบจำลองของระบบเท่านั้นมิใช่ตัวระบบเอง โดยมีข้อจำกัดโดยเฉพาะสมมุติฐานที่เป็นต้นแบบของโปรแกรมนั้นๆ เช่น โปรแกรม SPSS สามารถช่วยในการคำนวณค่าทางสถิติได้ แต่การจะเลือกว่าใช้การคำนวณใดผู้ใช้ต้องมีความรู้ในเรื่องสถิติ ตัวอย่างเช่น การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเหมาะสมกับข้อมูลจำนวนมากที่มีการกระจายแบบ Normal distribution แต่ค่าเฉลี่ยอาจจะเปรียบเทียบกันโดยไม่มีความหมาย ถ้าการกระจายของข้อมูล ต่างกัน เป็นต้น

ปัญหาเรื่องคอมพิวเตอร์ Virus, Worm, Trojan เป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน ผู้ใช้ต้องตระหนัก และ ป้องกันตัวเองจากโปรแกรมเหล่านี้ Virus เป็นโปรแกรม ที่สามารถทำสำเนาตัวเองให้ไปติดกับโปรแกรมอื่นๆ ได้ เมื่อสั่งให้โปรแกรมที่ติด Virus ทำงานโปรแกรมอื่นในเครื่องหรือในระบบเครือข่าย ก็จะติด Virus ไปด้วย ในขณะที่ Worm จะเป็นโปรแกรมเดียวที่หาจุดอ่อนของระบบ เมื่อพบและเข้าสู่ระบบได้ จะคัดสำเนาตัวเองและโปรแกรมประเภท Trojan เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เป้าหมาย จากนั้นอาจจะแพร่กระจายตัวเองต่อไปด้วยวิธีการเดียวกันไปที่เครื่องอื่นๆต่อไป ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ ที่จะต้องติดตั้งโปรแกรมป้องกันโปรแกรมเหล่านี้และต้องปรับปรุงระบบโดยการ update โปรแกรมต่างๆ โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการ ทั้งนี้ โปรแกรมเหล่านี้บางครั้งจะทำให้ข้อมูลในเครื่องหายไป หรือเครื่องไม่สามารถทำงานได้ ในหลายกรณีหากมีเครื่องหนึ่งเครื่องในเครือข่ายติด Virusจะส่งผลให้ระบบเครือข่ายทำงานช้าลง หรือถึงขั้นทำงานไม่ได้เลย